พูดไปคงไม่มีใครเชื่อว่าเมื่อก่อนอีฟเป็นเด็กขี้อาย พูดไม่รู้เรื่องคนหนึ่ง ไม่คิดไม่ฝันว่าโตขึ้นมาจะทำอาชีพที่ตรงกันข้ามกับนิสัยตัวเองแบบสุดขั้ว แต่จุดเปลี่ยนมันเกิดขึ้นจากที่หลังจากเรียนจบมา อีฟตั้งใจกับตัวเองว่าจะสละเวลาชีวิต 2 ปีทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง เลยมาจบที่งานมูลนิธิ ขณะนั้นเป็นผู้หิวกระหายในการทดลองวิชาการสร้างแบรนด์
แม้ไม่เคยเรียนด้านนี้โดยตรง แต่ใจชอบเรื่องการค้าขาย การทำคอนเทนต์ สร้างเวบบอร์ดมาตั้งแต่เด็ก และเป็นคนชอบฟังธรรมแต่เด็ก เลยสงสัยว่า จะดีไหมถ้าเราปรับแพคเกจศีลธรรมให้เด็กรุ่นใหม่สนใจ จนในที่สุดก็สร้างแบรนด์ประสบความสำเร็จ และมีเจ้าของธุรกิจหลายคนอยากรู้วิธีทำยังไง เลยเกิดขึ้นมาเป็นคอร์สเล่าเรื่อง 3 นาทีให้ได้ใจคน ที่มีผู้เรียนมากกว่า 1,000 คน สร้างความสำเร็จให้กับเจ้าของธุรกิจ SME หน้าใหม่ได้มีที่ยืนในประเทศ
ถ้าตอบตามจริงคือตอนแรกไม่มีความหมายอะไร นอกจากเป็นแค่คำพูดติดปากของเรา แต่เมื่อปลายปี 65 เป็นปีที่อีฟเกือบเลิกทำชุ่มฉ่ำ เพราะไม่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำเลย หาจิตวิญญาณตัวเองไม่เจอว่าทำไปทำไม จนกระทั่งถอยห่างออกจากธุรกิจนี้ ไม่ทำอะไรเลย นอกจากไปปฏิบัติธรรมหรือเข้าหาธรรมชาติเพื่อตกผลึกกับตัวเอง ว่า ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น เลยเห็นภาพตัวเองในอดีตว่า เราทำอย่างไม่มีสติ เผลอไปใช้ตัวเลขนำทาง จนเกิดความเครียด กดดัน เพราะเราไม่ได้สร้างแบรนด์ด้วยจิตที่ชุ่มฉ่ำ ผลลัพธ์มันเลยไม่ชัดเจน เราก็เครียดที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร
ตอนนี้ค้นพบแล้วว่า ความหมายของชุ่มฉ่ำ มันคือการที่คุณต้องวางจิตให้ชุ่มฉ่ำ เบิกบานอยู่เสมอ คุณถึงจะมองเห็นตัวเองได้ชัดและสร้างแบรนด์ให้คนมีความสุขตามไปด้วยได้ และอยากบอกเจ้าของธุรกิจทุกคนว่า อย่าทำมุ่งหน้าหาแต่เงินจนลืมไปว่าเราทุกคนก็ต้องตาย ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและอย่าลืมดูแลใจของตัวเองให้ฉ่ำตลอดเวลาด้วย เมื่อใจเราฉ่ำ ผลลัพธ์ก็จะฉ่ำตาม